ลำบากใจ เมื่อใกล้สิ้นลม
เมื่อผู้ป่วยระยะท้ายมีอาการทรุดลงฉับพลัน มักเป็นช่วงเวลาที่ลำบากใจมากของผู้ดูแล เพราะต้องตัดสินใจว่าจะดูแลเองต่อ หรือรีบพาไปหาหมอดี
.
ผู้ดูแลที่ไม่ได้เรียนรู้เรื่องการตายดีมาบ้าง มักไม่ลังเลที่จะนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกว่าดีต่อผู้ป่วยที่ได้อยู่ในมือผู้เชี่ยวชาญ ตนเองก็ปลอดภัยไม่รู้สึกผิด หากผู้ป่วยต้องเสียชีวิตไปในคราวนั้น รวมทั้งไม่ต้องหาคำอธิบายให้ยืดยาว
.
เพราะโรงพยาบาลก็ย้ำอยู่เสมอว่า หากผู้ป่วยมีอาการผิดปกติหรือแย่ลงก็ให้รีบพามาโรงพยาบาล ฝ่ายญาติมิตรหากรู้ว่าเสียชีวิตที่บ้านคำถามแรกที่จะได้รับคือ “ทำไมไม่พาไปโรงพยาบาล” ยิ่งคนใกล้ชิดแต่ติดกิจไม่เคยช่วยดูแล อาจถึงขั้นกล่าวหาว่าเรามีเจตนาร้ายต่อผู้ป่วยจึงไม่ส่งโรงพยาบาล
.
เมื่อต้องก้าวข้ามสถานการณ์ที่น่าหนักใจ พุทธศาสนาแนะนำให้มีสติ ปัญญา และเจตนาที่เป็นกุศลกำกับเสมอ การพาผู้ป่วยกลุ่มนี้ไปโรงพยาบาลเหมาะสมหรือไม่ สำหรับพุทธศาสนาจึงขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้ตัดสินใจเป็นสำคัญ หากทำด้วยสติ ปัญญา มีเจตนาเป็นกุศลแล้ว ไม่ว่าจะพาไปหรือไม่ การตัดสินใจนั้นก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว
.
เรื่องของเจตนาดูน่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ เพราะเราต่างพาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลด้วยความปรารถนาดี อยากให้หายเจ็บปวดทรมาน มีชีวิตยืนนานทั้งนั้น แต่หากพิจารณาดีๆ เจตนานั้นอาจยังไม่ประกอบด้วยสติปัญญาเต็มที่ก็ได้
อาจยังเป็นเจตนาที่ประกอบด้วยความกลัว กลัวพลัดพราก กลัวถูกคนรอบข้างตำหนิ กลัวกำพร้า กลัวคนว่าเป็นต้นเหตุให้ผู้ป่วยตาย ฯลฯ
.
หรือเป็นเจตนาที่ประกอบด้วยความไม่รู้ ไม่รู้เจตนารมณ์ของผู้ป่วย ไม่รู้ถึงความทุกข์ที่ผู้ป่วยจะได้รับจากการยืดชีวิต ไม่รู้ว่าหมอมีขีดจำกัดในการช่วยชีวิตได้แค่ไหน ไม่รู้ความเป็นไปของโรค หรือไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกลัว ขณะเดียวกันก็ไม่รู้วิธีการอื่นที่ใช้ช่วยเหลือกายใจเมื่อคนไข้มีอาการทรุดลงด้วย
.
ขณะที่การตัดสินใจส่งโรงพยาบาลก็มักทำด้วยความเร่งรีบ รุ่มร้อน สติไม่มั่นคง ทั้งหมดนี้มีส่วนทำให้เกิดเจตนาที่ไม่เป็นกุศล อาจนำความเสียใจมาให้ภายหลัง กลายเป็นปมติดอยู่ในใจว่า “เราไม่น่า” หรือ “รู้แบบนี้ เราคง…”
.
กรณีคนไข้ที่เพิ่งจากไปเช่นกัน มีผู้ตั้งข้อสงสัยเช่นกันว่าทำไมเราไม่พาท่านไปโรงพยาบาล เหตุที่ท่านทรุดลงเพียงเพราะกลืนอาหารไม่ได้ ร่างกายจึงผ่ายผอม อาการต่างๆ กำเริบ หากให้น้ำเกลือ ให้อาหารทางสายยางได้ ร่างกายท่านน่าจะฟื้นตัวมีชีวิตยืนยาวได้
.
ถ้าเรามีข้อมูลจำกัดก็อาจจะตัดสินใจเช่นนั้น แต่จากการอุปัฏฐากท่านอย่างใกล้ชิด ได้ศึกษาเรื่องโรค/อาการของท่านมาพักใหญ่ ทั้งได้ดูแลกายใจ รวมไปถึงความรู้สึกของคนใกล้ชิดที่ยังพอติดต่อได้ เราพบว่าการปล่อยให้ร่างกายท่านเป็นไปตามธรรมชาติโดยไม่ต้องแทรกแซง จะเป็นวิธีที่มีผลดีต่อท่านมากที่สุด
.
สำหรับความรู้สึกเศร้าโศกเมื่อสูญเสียคนรักที่เคยดูแลย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่การได้ดูแลเขาด้วยสติ ปัญญา และเจตนาดี จะนำความอิ่มใจมาให้ผู้ดูแลด้วยพร้อมๆ กันด้วย เพราะเราได้พยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว แม้จะมีจุดที่ไม่ตรงกับความตั้งใจของเขาหรือคนรอบตัวเราบ้างก็ตาม
.
เจตนาดีอันมีสติปัญญาเป็นฐาน จึงเป็นยาอีกขนานที่ไว้บำรุงจิตใจของผู้ดูแล